ขนาดของเครื่องเติมอากาศที่เหมาะสมสำหรับระบบบำบัดน้ำเสียนั้นมีความสำคัญมากครับ เพราะจะช่วยให้ระบบบำบัดน้ำเสียทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดพลังงานอีกด้วยครับ หากเครื่องเติมอากาศ ขนาดเล็กเกินไป จะไม่สามารถบำบัดน้ำเสียได้ตามค่ามาตรฐานครับ แต่หาก เครื่องเติมอากาศใหญ่มากเกินไป จะทำให้เปลืองพลังงานโดยใช่เหตุครับ
หากคุณต้องการทราบว่า “เครื่องเติมอากาศบำบัดน้ำเสีย ราคา เท่าไหร่ ?” คุณลูกค้าต้องทราบข้อมูลอย่างน้อย 4 ข้อมูลนี้ครับ
แต่ถ้าหากคุณลูกค้าทราบ ข้อมูลรุ่น และ ชนิดเครื่องเติมอากาศ สำหรับ การบำบัดน้ำเสียแล้ว สามารถเลือกราคาตามด้านล่างได้เลยครับ
ราคาของเครื่องเติมอากาศบำบัดน้ำเสีย สำหรับบำบัดน้ำเสียจะแตกต่างกันไปตามขนาดและประสิทธิภาพของเครื่องเติมอากาศครับ
เหมาะสำหรับการเติมอากาศไม่มาก ความสกปรกของน้ำเสียต่ำ เป็นการเติมลมเข้าไปในน้ำเสียจากด้านบน ดึงอากาศเข้ามาด้านใน ถัง หรือ บ่อบำบัด ประสิทธิภาพการถ่ายเท O2 ไม่มากกเท่าที่ควร
Air pump | |||||
รุ่น 100 | |||||
รุ่น 150 | |||||
รุ่น 200 | |||||
รุ่น 300 |
เครื่องเติมอากาศมีหลายชนิดเลยครับ ได้แก่:
Air Blower เป็นเครื่องเติมอากาศขนาดใหญ่ที่ใช้ในระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้กับจุลินทรีย์ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ นิยมใช้กับระบบบำบัดน้ำเสียที่ต้องการประสิทธิภาพสูง หรือ ค่า BOD, TKN สูงๆ ครับ
Ejector Aerator เป็นเครื่องเติมอากาศที่ใช้ในระบบบำบัดน้ำเสียที่สามารถติดตั้งใต้น้ำได้เลยครับ โดยใช้หัวฉีดเพื่อดูดอากาศเข้ามาผสมกับน้ำเสีย ติดตั้งเหมือน Submersible pump เลยครับ
Air Pump เป็นเครื่องเติมอากาศเล็กที่ใช้ในเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำเสีย นิยมใช้ในถังบำบัดน้ำเสียครับ เหมาะเป็น เครื่องเติมอากาศถังบำบัด ราคา ประหยัดสุดๆครับ
Jet Aerator เป็นเครื่องเติมอากาศลอยบนผิวน้ำ เพื่อการเติมอากาศที่ไม่ต้องการการบำบัดที่สูงมาก สามารถบำบัดได้เพียงด้านบนผิวน้ำครับ
Surface Aerator เป็นเครื่องเติมอากาศลอยบนผิวน้ำขนาดใหญ่ เหมาะกับระบบบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่แต่ต้องการการติดตั้งบนผิวน้ำครับ
การเพิ่ม หรือ เติมอากาศลงในน้ำเสีย เมื่อติดตั้งเครื่องเติมอากาศ เครื่องนี้จะเพิ่มอากาศลงในน้ำเสียโดยอัตโนมัติ ซึ่งจุลินทรีย์จำเป็นต้องมีออกซิเจนละลาย( Dissolve Oxygen , DO ) เพื่อใช้ในการหายใจอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะสามารถอยู่รอดและกินสารปนเปื้อนในน้ำได้ การเพิ่มอากาศลงในน้ำเสียจะช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนละลาย ( DO ) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ( DO > 2 มก./ ล ) ซึ่งจะช่วยกำจัดสารปนเปื้อนได้ครับ
จุลินทรีย์ต้องการ DO ครับ เพื่อขยายพันธ์จุลินทรีย์ที่กินสารอินทรีย์ให้มากที่สุด และ เร็วที่สุด เร็วจึงต้องเติมออกซิเจน. O2 ลงในน้ำเสียครับ
การเติมอากาศถือเป็นวิธีการบำบัดน้ำเสียขั้นที่สอง หรือ Secondary treatment ครับที่นิยมใช้ในการกำจัดมลพิษในน้ำเสียได้หลายอย่างครับ เช่น สามารถลด BOD,COD,TKN, หรือ Sulfide ในน้ำเสียได้ครับ
เมื่อมีการเติมอากาศ ( ในอากาศมี O2 อยู่ 21% ) ลงในระบบบำบัดน้ำเสีย ชีวภาพ จะมีการถ่ายเทอากาศโดยตรงเข้าไปในบ่อหรือถังเติมอากาศในระบบบำบัดน้ำเสีย หากมีการเติมอากาศอย่างถูกต้อง จุลินทรีย์จะสามารถเจริญเติบโตขึ้นในน้ำเสียอย่างรวดเร็วครับ
โดยจุลินทรีย์เหล่านี้จะกินสารอินทรีย์ปนเปื้อนในน้ำ เช่น bCOD จากนั้นจะรวมตัวกันเป็นก้อน ( อ้วนขึ้น) จนมีน้ำหนักที่จะตกตะกอนครับ หากเป็นระบบ AS ตะกอนจะถูกนำไปยังบ่อหรือถังตกตะกอนแยกออกไปต่างหากครับ แต่ในบางระบบอาจไม่เป็นอย่างนั้น เช่น MBR,SBR ตะกอนจะยังอยู่ในถังเติมอากาศครับ
การกวนผสมน้ำเสีย เป็นผลพลอยได้อีกอย่างของการใช้เครื่องเติมอากาศครับ คือ การที่จะช่วยกวนผสมน้ำเสียและทำให้ทุกบริเวณของน้ำได้รับออกซิเจนอย่างทั่วถึง หากน้ำไม่ได้รับการกวนผสมอย่างเหมาะสม จุลินทรีย์ในบางพื้นที่อาจจะตายลงเนื่องจากขาดออกซิเจน ละลายน้ำ ( DO ไม่เพียงพอ ) การคลุกเคล้าน้ำอย่างถูกต้องยังจะช่วยป้องกันการสะสมของตะกอนอีกด้วยครับ
เครื่องเติมอากาศถือเป็นอุปกรณ์สำคัญอันดับต้นในการบำบัดน้ำเสียเลยครับ โดยมีหน้าที่ในการเพิ่มออกซิเจน (O2 )ในน้ำเสีย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการย่อยสลายสารอินทรีย์ (BOD, COD,Sulfide, N ) ต่างๆ ในน้ำเสีย โดยช่วยให้จุลินทรีย์ที่ใช้ในการบำบัดน้ำเสียเติบโตแข็งแรง สามารถทำงาน ( กินอาหาร ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
ซึ่งจะส่งผลให้น้ำเสียได้รับการบำบัดจนมีคุณภาพดีขึ้น จนผ่านมาตรฐาน ผ่านกฎหมาย จนสามารถปล่อยน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติได้อย่างถูกต้องครับ
เมื่อต้องการซื้อเครื่องเติมอากาศ ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้ครับ:
ผมลองยกตัวอย่างการคำนวณหาปริมาณออกซิเจนของจุลินทรีย์ที่ต้องการใช้ในการย่อย( กิน ) ลดค่า BOD อย่างเดียวจาก การบำบัดน้ำเสียชนิด Activiated Sludge ดูนะครับ
ผมชอบคิดว่าคือระบบ ” อากาศดีชื่นใจ จุลินทรีย์อ้วนน้ำใส ” เพราะหากอ้วนจะตกตะกอนได้ดี น้ำก็ใสแจ๋วครับ
จากสูตร O2 = (Q.(Sₒ-S)/1000.f)-1.42Px
Q = อัตราการไหลน้ำเสีย ลบ.ม.ต่อวัน ( ปริมาณน้ำเสียต่อวัน )
Sₒ = BOD ( อาหาร ) ตอนเข้าถังเติมอากาศ
S = BOD ( อาหารที่เหลือ ) ที่ต้องการให้ออกจากถังเติมอากาศ
f = BODu/BOD5 = 0.68 , f = สัดส่วนของค่า BOD จริง กับ BOD5 ที่วัดได้จากห้องแลป
Px = Yobs.Q.(Sₒ-S)/1000 , Px=จุลินทรีย์ที่ตุยแล้วคงไม่ต้องการอากาศเนอะ
Yobs = Y/(1+Kd.θc) , Y = 0.5 , Kd = 0.05 , θc = 10 วัน
Yobs = น้ำหนักจุลินทรีย์อ้วนเทียบกับน้ำหนักอาหารที่มันกินเข้าไป (สังเกตุเห็นได้)
Y = น้ำหนักจุลินทรีย์ที่อ้วนขึ้นเทียบกับน้ำหนักอาหารที่มันกินเข้าไปจริงๆ ( เก่งกว่าซูโม่อีก )
Y = 0.5 คือ หาก จุลินทรีย์กินพิซซ่า 16 กก. จุลินทรีย์จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 8 กก.
kd = อัตราการตุยของ จุลินทรีย์ทั้งหมด 5%-15% เยอะเหมือนกันนะ ( 0.05 – 0.15 )
kd = 0.05 คือ หากมีจุลทรีย์ในระบบ 100,000 ตัว จะมีอัตราการตุย = 5,000 ตัว
θc = ระยะเวลาที่จุลินทรีย์จะอยู่ในระบบบำบัดนี้นานเท่ากี่วัน
การหา ความต้องการอากาศ O2 ได้แล้วครับ ( เฮ้อ )
ในการเลือกซื้อเครื่องเติมอากาศ จำเป็นต้องคำนวณหาขนาดที่เหมาะสม กับปริมาณน้ำเสียที่ต้องการบำบัดครับ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ปริมาณน้ำเสีย, ปริมาณสารอินทรีย์ในน้ำ ( BOD, N ) , อุณหภูมิของน้ำ เป็นต้นครับ
ตัวอย่างการคำนวนหา
เพื่อให้ได้ เครื่องเติมอากาศ ถังบำบัด ที่มีขนาดและประสิทธิภาพเหมาะสมกับการใช้งานครับ ( หากคำนวณแล้วเครื่องเติมอากาศใหญ่เกินไป เปลืองไฟครับ หากคำนวณแล้วน้อยไปก็ไม่สามารถบำบัดน้ำได้ครับ )
ซึ่งจะช่วยให้ระบบบำบัดน้ำเสียทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดพลังงานในการใช้งาน
เมื่อทราบขนาด เครื่องเติมอากาศ บำบัดน้ำเสีย ราคาที่เหมาะสมแล้ว ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ในการเลือกซื้อเช่นเดียวกันครับ เช่น
การพิจารณาปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เลือกซื้อเครื่องเติมอากาศที่มีคุณภาพ ตอบสนองความต้องการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความคุ้มค่าในเลือกซื้อครับ
เครื่องเติมอากาศถือเป็นอุปกรณ์สำคัญในการบำบัดน้ำเสีย โดยช่วยเพิ่มออกซิเจนละลาย ในน้ำ DO เพื่อให้จุลินทรีย์ที่ใช้ในการบำบัดสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยในการกวนผสมอากาศในน้ำเสียด้วย
โดยราคาของเครื่องเติมอากาศจะแตกต่างกันไปตามขนาดและประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงควรคำนวณหาขนาดที่เหมาะสม และพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ในการเลือกซื้อ เพื่อให้ได้เครื่องเติมอากาศที่มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
1. ขนาดเครื่องเติมอากาศขึ้นอยู่กับอะไร? ขนาดของเครื่องเติมอากาศขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำเสีย, ปริมาณสารอินทรีย์ในน้ำ, และอุณหภูมิของน้ำ เป็นต้น ซึ่งต้องคำนวณหาขนาดที่เหมาะสม
2. เครื่องเติมอากาศมีราคาเท่าไหร่? ราคาของเครื่องเติมอากาศสำหรับบำบัดน้ำเสียจะอยู่ในช่วง 5,000 – 200,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและประสิทธิภาพของเครื่อง
3. ปัจจัยอะไรบ้างที่ควรพิจารณาในการเลือกเครื่องเติมอากาศ? ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ประสิทธิภาพการเติมอากาศ, คุณภาพและความทนทานของวัสดุ, ความสะดวกในการติดตั้งและบำรุงรักษา, ความประหยัดพลังงาน และการรับประกันและการให้บริการหลังการขาย